top of page

[1st Drive] Ford Ranger Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 10AT ปรับมาดีแทบไร้ที่ติ

     กับค่าตัว 1.265 ล้านบาท ถือว่าปรับเพิ่มมาไม่มากหากเทียบกับรุ่นท๊อปของตัวก่อนหน้าที่วางราคาไว้ 1.199 ล้านบาท แต่สิ่งที่ได้มาคืออุปกรณ์ตกแต่งมากมายที่เพิ่มขึ้นมาทั้งภายนอก ภายใน ขณะที่เครื่องยนต์รุ่นใหม่มีความน่าสนใจมากขึ้นในเรื่องของการตอบสนองที่คล่องแคล่วว่องไวกว่าเดิม

มาเริ่มกันที่ภายนอก ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทร็ค ใหม่ มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มาก เรียกว่ามองเผิน ๆ แทบไม่แตกต่างจากรุ่นเดิม ที่เพิ่มเติมก็คือกันชนหน้าใหม่ กระจังหน้าลายใหม่ที่มาพร้อมซี่คาดกลางแบบคู่ กรอบไฟตัดหมอกแบบใหม่ที่มาพร้อมไฟแอลอีดี เสริมด้วยไฟส่องสว่างขณะวิ่งกลางวัน

2016-Ford-Ranger-Wildtrak-front
1509760042-MAZDA-BT-50
2019-Ford-Ranger-US005
ford-commits-to-invest-12-billion-in-michigan-production-facilities_40
BkJJQgls-_930x525
ford-new-ranger-wildtrak-3-2l-mau-1-605556f23002

       ติดตั้งระบบไฟสูงแบบอัตโนมัติมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ปรับตำแหน่งของเสาอากาศจากเดิมที่ติดตั้งเหนือศีรษะคนขับมาไว้ที่ด้านหลังห้องโดยสาร พร้อมเปลี่ยนมาใช้เสาอากาศแบบสั้น ขณะเดียวกัน ก็ติดตั้งระบบผ่อนแรงฝาท้ายกระบะเพื่อให้ปิดเปิดฝาปิดกระบะได้ง่ายดายขึ้น

      สีของตัวถังนั้น มองเผิน ๆ เหมือนกับเป็นสีเดียวกันกับรถรุ่นก่อนหน้า แต่หากมองดูจริง ๆ แล้ว สีของไวล์ดแทร็คในรุ่นใหม่จะดูอ่อนลงไปอีกเล็กน้อย เป็นคนละโทนสีส้มซึ่งมีความแตกต่าง อันนี้แล้วแต่คนชอบนะครับ โดยส่วนตัวผมมองว่าอยากให้ใช้สีเดิมมากกว่า เพราะมันสวยและเตะตากว่าอย่างเห็นได้ชัด

     ห้องโดยสารภายในมีการปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร ด้วยการเลือกใช้สีโทนดำทั้งคันมาแทนสีโทนดำสลับส้มในรุ่นเดิม เบาะเป็นหนังสีดำสลับผ้าตาข่ายสีดำ เดินตะเข็บด้ายส้ม ให้สัมผัสและการรองรับน้ำหนักผู้โดยสารที่เหมือนเดิมเป๊ะ เรียกว่าถ้าเปลี่ยนคันกันขับก็ไม่ต้องถามถึงความแตกต่าง

Ford Ranger Minorchange รอบที่ 2 เน้นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ และ ระบบส่งกำลังใหม่ ส่วนงานดีไซน์ภายนอกนั้น เปลี่ยนไม่เยอะ หากไม่ใช่แฟนคลับรถกระบะ Ford Ranger ก็อาจจะสงสัยว่าเปลี่ยนตรงไหนบ้าง ผมจึงสรุปรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงเป็นหัวข้อ ให้เข้าใจง่ายๆได้ดังนี้

  • เปลี่ยน รายละเอียดไฟหน้าดีไซน์ใหม่ (เหมือนกับ Everest)

  • เพิ่ม ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED

  • เปลี่ยน กระจังหน้า ดีไซน์ใหม่ (เป็นเส้นแถบกลาง 2 เส้นคู่)

  • เปลี่ยน กันชนหน้า ดีไซน์ใหม่ (ตัดแถบสีเทาเข้มออก ให้เหลือแต่ส่วนที่เชื่อมต่อกับกระจัง)

  • เปลี่ยน เบ้าไฟตัดหมอก ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน ไฟตัดหมอกคู่หน้า เป็นแบบ LED

  • เปลี่ยน สติ๊กเกอร์ 4×4 ข้างกระบะ ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน สติ๊กเกอร์ R A N G E R ฝากระบะท้าย ดีไซน์ใหม่

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่ สีตัวถังภายนอก สีส้ม Pride Orange ที่เปลี่ยนโทนให้อ่อนลงกว่าเดิม (นับว่าสีส้มนี้ มีการปรับโทนให้อ่อนลงเรื่อยๆทุกครั้งที่มีการปรับ Minorchange นั่นเอง….)

สำหรับมิติตังถังภายนอก ก็ยังคงเดิมอาจจะมีการขยับตัวเลขเล็กน้อยจากการเปลี่ยนกันชนด้านหน้า (รอตัวเลขอย่างเป็นทางการอีกครั้ง) เดิมตัวรถยาว 5,361 มิลลิเมตร / กว้าง 1,860 มิลลิเมตร / สูง 1,815 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ Wheelbase ยาว 3,220 มิลลิเมตร

ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า 1,560 มิลลิเมตร / ระยะห่างระหว่างล้อคู่หลังเท่ากันที่ 1,560 มิลลิเมตร ส่วนระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance อยู่ที่ 230 มิลลิเมตร

ล้อ และ ยางติดรถประจำรุ่น Wildtrak ก็ยังคงเป็นลายเดิม ขนาดเดิม เป็นล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone Dueler H/T 684 II ขนาด 265/60 R18

ฝากระบะท้ายมีการเพิ่มกลไล ระบบผ่อนแรง ฝาท้ายกระบะ Easy Lift Tailgate มาให้ ทำให้เวลายกฝากระบะท้ายเพื่อปิดขึ้น น้ำหนักเบาลง ใช้แรงปิดน้อยลงอย่างรู้สึกได้ชัดเจน รวมถึงเพิ่ม กุญแจล็อคฝาท้ายมาให้แล้ว

มาที่ภายในห้องโดยสารกันบ้าง แม้จะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่าจุดที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีเหมือนกัน เริ่มต้นที่แผงประตูทั้ง 4 บาน จากเดิมจะเป็นสีเทาเข้มๆตัดกับส่วนที่วางแขนที่เป็นสีดำ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำล้วนทั้งแผง รวมถึงคอนโซลกลางครึ่งล่าง ก็มีการเปลี่ยนจากสีเทาเข้ม เป็นสีดำทั้งหมดเช่นกัน

เอกลักษณ์ของรุ่น Wildtrak ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ด้วยการเดินตะเข็บด้ายสีส้มทั่วทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นแผงประตู พวงมาลัย แดชบอร์ดส่วนบน ถุงหุ้มคันเกียร์ และ ที่เบาะนั่งด้านหน้า – ด้านหลัง

หัวเกียร์มีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ เพื่อรองรับกับ Manual Mode ของเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะลูกใหม่นั่นเอง นอกนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก ตอนกลางคืนก็มีไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร Ambient Light ที่ปรับเปลี่ยนได้ 7 โทนสี อยู่เช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นที่มือเปิดประตูด้านใน ไฟส่องเท้า และ ตามช่องวางของต่างๆ

ชุดมาตรวัดยังคงเป็นแบบจอสี TFT แสดงผลจอคู่ Dual Screen ซ้าย – ขวา ที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งระดับความร้อนน้ำหล่อเย็น, ระดับน้ำมัน, ความเร็วแบบดิจิตอล, อัตราสิ้นเปลือง, Trip 1, Trip 2 และ มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ที่เล็กมากกกก ดูได้แบบคร่าวๆเท่านั้น ไม่ได้แยกหน้าจอแบบใหม่เหมือนใน Ranger RAPTOR

หน้าจอกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว เครื่องเสียง วิทยุ AM/FM สามารถเล่นแผ่น CD / MP3 ได้ 1 แผ่น รองรับ Apple Car Play / Android Auto ความเปลี่ยนแปลงของชุดเครื่องเสียงใน Ranger Minorchange ครั้งนี้ คือ เพิ่มระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก Active Noise Cancellation ที่อยู่ใน Everest มาให้

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความสามารถให้กับ ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC3 ที่สามารถสั่งงานเป็นภาษาไทยได้ รวมถึงการแสดงผลบนหน้าจอ ก็เป็นภาษาไทยได้แล้ว ปรับอุณหภูมิ เพิ่มเสียง เปลี่ยนคลื่นวิทยุ ฯลฯ สามารถดูคลิปการสั่งงานด้วยเสียงเป็นภาษาไทย ได้ข้างล่างนี้เลยครับ

      ระบบปรับอากาศของ Ranger Minorchange รุ่น Wildtrak เป็นแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย – ขวา Dual Zone สามารถกดได้ทั้งปุ่มบนคอนโซลกลาง หรือ ควบคุมจากหน้าจอกลางก็ได้เช่นกัน

      ถัดลงมาจากสวิตซ์ระบบปรับอากาศ จะเป็นที่อยู่ของช่องเชื่อมต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น USB 2 ตำแหน่ง มีไฟเรืองแสงให้เผื่อตอนกลางคืน หรือ ช่องชาร์จไฟ 12V แบบมีฝาปิดเรียบร้อยสวยงาม โดยสิ่งที่น่าเสียดายคือ ช่องเชื่อมต่อ AUX-in ที่ได้ตัดออกไปแล้วก่อนหน้านี้

ranger_in_046_1.jpg
seat_ranger_mc.jpg

วัสดุหุ้มเบาะนั่งของ Ranger Wildtrak ในรุ่นที่แล้ว ผมค่อนข้างอยากให้ปรับปรุงมาก ถึงมากที่สุด เดิมที่เป็นผ้าสากๆสีส้ม กินพื้นที่เกือบทั้งตัวเบาะ แม้จะเข้าใจว่า ออกแบบมาเพื่อต้องการให้ร่างกายโอบกระชับกับตัวเบาะ แต่กลับกันผิวสัมผัสของมัน ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายในเวลาเดียวกัน แถมยังเลอะ เป็นคราบง่าย และ ในที่สุดวันนี้รุ่น Minorchange รอบที่ 2 ก็ได้ปรับปรุงแล้วในจุดนี้ กลายเป็น หุ้มด้วยหนังสีดำเกือบทั้งตัว มีผ้าตาข่ายสีดำ ผิวสัมผัสดี แซมในส่วนต่างๆแทน นี่แหละครับ คือ สิ่งที่ผม และ เชื่อว่าใครหลายๆคนต้องการเช่นกัน

ตัวพนักพิงเบาะ ปั๊มสัญลักษณ์ Wildtrak เช่นเคย เดินตะเข็บด้ายสีส้มรอบตัว เบาะนั่งคนขับ เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า เป็นแบบปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลัง สามารถพับยกขึ้น และ พับลงได้ แบบชิ้นเดียว สำหรับวางสัมภาระในรูปแบบต่างๆ

       อีกสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าหลายคนเรียกร้อง ก็เพิ่มมาให้แล้ว นั่นก็คือ ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry และ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button จะได้แก้จุดอ่อนเมื่อเทียบกับคู่แข่งค่ายญี่ปุ่นได้เสียที การปลดล็อคตัวรถจากภายนอก ก็เพียงแค่สอดมือที่เบ้ามือจับ ในขณะที่กุญแจอยู่กับตัว ขึ้นรถมาก็เหยียบเบรก และ กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เลย หน้าตากุญแจก็เป็นแบบใหม่ ตามที่เห็นด้านล่างนี่เลยครับ

key_ranger_mc.jpg

เครื่องยนต์ และ รายละเอียดทางวิศวกรรม

        สิ่งสำคัญของ Ford Ranger Minorchange ในรอบนี้ ไม่ใช่การแต่งหน้าทาปาก ปรับดีไซน์ภายนอก – ภายในห้องโดยสารเล็กๆน้อยๆตามที่อธิบายไปข้างต้น เหมือนครั้งอื่น แต่เป็นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และ ระบบส่งกำลังใหม่ทั้งหมด ตามเทรนด์ Downsizing ทั่วโลก จากเดิมที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล บล็อค PUMA 5 สูบ ขนาด 3.2 ลิตร VG-Turbo 200 แรงม้า 500 นิวตันเมตร ก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ECOBLUE 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่แทน

Diesel 2.0 EcoBlue ” Bi-Turbo

เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี. พ่วงเทอร์โบคู่ (ทำงานร่วมกันระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass) กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที

  • สายพานไทม์มิ่งแบบจุ่มในน้ำมันเครื่อง Belt-in-oil Primary Drive

  • ฝาครอบเครื่องยนต์ พร้อมโฟมดูดซับเสียง เพื่อลด NVH : Noise Vibration Hashness

  • ฝาครอบ Compressor ระบายความร้อนด้วยน้ำ

  • ลูกสูบอะลูมิเนียม มีการหล่อซ้ำที่ขอบแอ่งหัวลูกสูบ Bowl Edge Re-Melt

เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เดิมในรุ่นเดียวกัน อย่าง Ranger Wildtrak 4×4 อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ก็ลดลงอย่างชัดเจน

  • เครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร VG-Turbo ปล่อย CO2 ที่ 239 g./km.

  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ปล่อย CO2 ที่ 200 g./km.

เครื่องยนต์ใหม่ ก็ต้องส่งกำลัง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ลูกใหม่ ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอย และ คอมโพสิท พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ Manual Mode + – ที่หัวเกียร์ ไม่มีแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยอย่างที่ Ranger RAPTOR มีให้

  • ระบบกรองน้ำมันเกียร์ Sump Filtration and ULV

  • ปั๊มน้ำมันเกียร์ชนิดใบพัดแปรผันแบบเยื้องศูนย์ Off-Axis Variable-Displacement Vane Pump

  • คลัตซ์แบบ Rollover One-way Clutch (OWC)

เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ (10R80)

  • เกียร์ 1  4.696

  • เกียร์ 2  2.985

  • เกียร์ 3  2.146

  • เกียร์ 4  1.769

  • เกียร์ 5  1.520

  • เกียร์ 6  1.275

  • เกียร์ 7  1.000

  • เกียร์ 8  0.854

  • เกียร์ 9  0.689

  • เกียร์ 10  0.636

  • เกียร์ถอยหลัง 4.866

  • อัตราทดเฟืองท้าย  3.740

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ Ranger Wildtrak 4×4 Minorchange ยังคงเป็นแบบ Part-time 4WD เหมือนเดิม พร้อมเฟืองท้าย Locking Rear Differential

มาถึงส่วนที่หลายคนสงสัย และ อยากรู้กันมากที่สุด คือ อัตราเร่ง แน่นอนครับ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ Downsizing ลดขนาดความจุลง เพิ่มเทอร์โบเป็น 2 ลูก ทำให้พละกำลังแรงขึ้นจากเดิม 13 แรงม้า ระบบส่งกำลังใหม่ จากเดิม เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็น 10 จังหวะ จะผลงานได้ดีขนาดไหน ?

ผลการจับเวลาอัตราเร่ง 0-100 km/h ใน Ranger 2.0 Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10A/T จะเป็นตัวเลข ” เบื้องต้น ” อย่างไม่เป็นทางการ (เนื่องจากจังหวะเวลาไม่เอื้ออำนวย ไม่สามารถทดสอบตามมาตรฐานปกติของ Headlightmag ได้ นั่ง 2 คน น้ำหนักรวมไม่เกิน 170 กิโลกรัม เปิดแอร์ กลางคืน อุณหภูมิ 25 – 27 องศาเซลเซียส)

แต่ผลการจับเวลาในครั้งนี้ เป็นการนั่ง 1 คน น้ำหนักประมาณ 105 กิโลกรัม เปิดแอร์ กลางวัน อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส

ถือว่าน้ำหนักบรรทุกน้อยกว่าการทดสอบปกติ แต่อุณหภูมิก็สูงกว่ามากเช่นกัน

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • #1  10.45

  • #2  10.42

  • #3  10.47

  • #4  10.48

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้เฉลี่ย 10.45 วินาที

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • #1  7.34

  • #2  7.35

  • #3  7.31

  • #4  7.31

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้เฉลี่ย 7.32 วินาที

engine_001 (1)
engine_002
ranger_in_038
ranger_in_039
Autostation__MG_3900 (1)
ranger_in_030

เมื่อเทียบกับ Ranger Wildtrak 3.2 4×4 6A/T รุ่นเดิม ก่อน Minorchange (0-100 : 11.19 วินาที // 80-120 : 8.79 วินาที) พบว่าอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง หรือ 0-100 ทำเวลาได้ดีขึ้นกว่าเดิมราวๆ 0.74 วินาที ส่วนอัตราเร่งแซง 80-120 ดีขึ้น 1.47 วินาที

คาดว่าเป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างเทอร์โบแรงดันสูง (HP) ที่เชื่อมต่อกับเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ที่มีขนาดใหญ่กว่า ควบคุมด้วยวาล์วบายพาสที่ควบคุมลำดับการทำงานของเทอร์โบทั้ง 2 ลูก เมื่อรอบเครื่องยนต์ต่ำ เทอร์โบทั้ง 2 ตัว จะทำงานตามลำดับเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิด และ การตอบสนอง เมื่อช่วงรอบเครื่องยนต์สูง อากาศจะไม่ไหลผ่านเทอร์โบแรงดันสูง ทำให้เทอร์โบแรงดันต่ำที่ใหญ่กว่า ช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น

ลักษณะคาแรคเตอร์ในช่วงออกตัวตอนต้นของเครื่องยนต์ใหม่ 2.0 Bi-Turbo ค่อนข้างใกล้เคียงกับ 3.2 VG-Turbo เดิม คือ พุ่งออกตัวไปแบบนุ่มๆ แล้วพละกำลังมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับ Colorado 2.8 Duramax II 200 แรงม้า ที่พุ่งออกไปแบบกระชากหลังติดเบาะ

นอกจากนี้ยังมีเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะลูกใหม่ที่ทำงานได้ไหลลื่นต่อเนื่อง ในการทำงานของเกียร์จะขึ้นอยู่กับแรงกดคันเร่ง บางครั้งดูจากหน้าจอแสดงตำแหน่งเกียร์พบว่า เกียร์เปลี่ยนจากตำแหน่ง 1 ไป 3 ไป 5 เนื่องจากอัตราทดที่ชิดมาก ก็เลยมีการข้ามเกียร์กันไปเลย

รวมไปถึงน้ำหนักตัวรถที่ลดลงจากเดิมอีกราวๆ 64 กิโลกรัม

  • Ranger DBL 3.2 VG-Turbo Wildtrak 4×4 6A/T น้ำหนัก 2,220 กิโลกรัม

  • Ranger DBL 2.0 Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10A/T น้ำหนัก 2,156 กิโลกรัม

  • รอบเครื่องยนต์ แต่ละย่านความเร็ว ต่ำแค่ไหน แล้วในรอบต่ำจะมีแรงหรือไม่ ?

รอบเครื่องยนต์ ณ ย่านความเร็วต่างๆ ค่อนข้างจะต่ำมาก เป็นผลมาจากการใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ นั่นเอง ที่สามารถซอยย่อยอัตราทดเกียร์ได้มาก จึงช่วยเรื่องของรอบเครื่องยนต์ และ ความประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น

ความเร็ว (กิโลเมตร/ชั่วโมง) @ รอบเครื่องยนต์ (ณ เกียร์สูงสุด : ไม่สามารถตัดขึ้นเป็นเกียร์ที่สูงกว่านี้ได้)

  • 80 km/h @ 1,600 rpm (เกียร์ 8)

  • 100 km/h @ 1,600 rpm (เกียร์ 9)

  • 110 km/h @ 1,600 rpm (เกียร์ 10)

  • 120 km/h @ 1,750 rpm (เกียร์ 10)

แต่ถ้าหากใช้ความเร็วที่สูงกว่า ทำให้ตัดขึ้นที่เกียร์ 10 ได้ แล้วค่อยๆลดความเร็วลงมา บางครั้งก็สามารถใช้ความเร็วย่านต่างๆ ในตำแหน่งเกียร์ที่สูงขึ้นได้ ดังนี้

  • 80 km/h @ 1,350 rpm (เกียร์ 9)

  • 100 km/h @ 1,450 rpm (เกียร์ 10)

หากใครที่สงสัยว่าที่รอบเครื่องต่ำๆ รถจะมีพละกำลังหรือไม่ จากการทดลองดู พบว่าพละกำลังของเครื่องมาเต็มๆตั้งแต่ราวๆ 1,700 รอบ/นาที ดังนั้นจะไม่ได้มีอาการรอรอบมากนัก สร้างแรงได้เร็วกว่าคู่แข่งเครื่อง Downsize อย่าง Mitsubishi Triton 2.4 และ Isuzu D-max 1.9 ที่เรี่ยวแรงจะมาที่ราวๆ 2,000 รอบ/นาที ขึ้นไป

  • ช่วงล่างได้ข่าวมาว่ามีการปรับปรุง จริงหรือไม่ ?! 

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ Double Wishbone with Coil Spring ส่วนช่วงล่างด้านหลัง แหนบซ้อน Leaf Spring มีการเช็ตช่วงล่างใหม่ เพื่อรองรับกับเครื่องยนต์ที่น้ำหนักเบาลง รวมถึงความตั้งใจที่จะเช็ตมาเอาใจคนส่วนใหญ่มากขึ้นด้วย

ผลที่ออกมาคือ ช่วงล่างนุ่มสบายขึ้นมาก !!! จนพูดได้ว่าตอนนี้ผมเลิกบ่น ถึงความแข็ง ความสะเทือนของช่วงล่าง ใน Ranger ได้แล้ว การซับแรงสะเทือน หลุม บ่อ รอยต่อถนนต่างๆ ทำได้อย่างนุ่มนวล ในภาพรวมการซับแรงสะเทือนทำได้ดีกว่าใน Colorado Minorchange แล้วด้วยซ้ำ ความมั่นใจ ความหนักแน่นที่ความเร็วสูงก็ยังคงทำได้ดี แม้เทียบกับตัวเดิม ความมั่นใจจะลดลงไปบ้างจากความนุ่มนวลที่เพิ่มมานี้ แต่ก็ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง

แม้จะมั่นใจน้อยลงไปบ้างในช่วงความเร็วสูงเวลาเจอถนนไม่เรียบ หรือ การโยนโค้งบางจังหวะ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว Ranger Minorchange ก็ยังทำผลงานได้ดีที่สุดในกลุ่มเช่นเคย การเปลี่ยนเลนที่ความเร็วสูง ก็ทำได้อย่างมั่นคง ไม่มีอาการโยนตัวจนมากเกินงาม

โดยส่วนตัวถือว่าเป็นการเซ็ตช่วงล่างที่บาลานซ์ความพอดี ระหว่างความนุ่มนวลในการนั่งโดยสาร และ ความมั่นใจในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี แต่คนที่ใช้รุ่นเดิมอยู่อาจจะบอกว่า ตัวเดิมมั่นใจกว่าในความเร็วสูง

พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS คาดว่าน่าจะมีการปรับน้ำหนักหน่วงมือในช่วงความเร็วต่ำได้หนักแน่นขึ้น จากเดิมที่ค่อนข้างจะเบามาก ส่วนน้ำหนักพวงมาลัยในช่วงความเร็วสูง ทำได้ดีเหมาะสมอยู่แล้ว

ระบบเบรกคู่หน้า ดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อน – คู่หลัง ดรัมเบรก แป้นเบรกมาในแนวแป้นลึก ต้องกดเยอะเช่นเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีการหน่วงความเร็วได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย สำหรับบางท่านอาจต้องใช้ความคุ้นชินมากขึ้นหน่อย หากเคยขับแต่รถบางรุ่นที่เซ็ตเบรกมาแบบแป้นตื้น

ส่วนทางด้านระบบความปลอดภัย และ ช่วยเหลือการขับขี่ มีการเพิ่มมาให้จากเดิม 2 ระบบ

  • เพิ่ม ระบบช่วยจอดรถแบบอัตโนมัติ Active Parking Assist

  • เพิ่ม ระบบเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน AEB : Autonomous Emergency Braking

    • โดยระบบเบรกอัตโนมัติ AEB จะใช้เรดาร์ และ กล้องด้านหน้ารถในการตรวจจับวัตถุด้านหน้า ทำงานเมื่อความเร็วมากกว่า 3.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ปกติระบบเดิม เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System จะทำการส่งสัญญาณไฟ และ สัญญาณเสียงเตือนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยออกแรงเบรกให้โดยอัตโนมัติ)

Diesel 2.0 EcoBlue ” Bi-Turbo ” ทำตลาดแทนเครื่องยนต์ 3.2 ลิตรเดิม

เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี. พ่วงเทอร์โบคู่ (ทำงานร่วมกันระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass) กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ Manual Mode + – ที่หัวเกียร์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time

Exterior – ภายนอก / Powertrain เครื่องยนต์ – ระบบส่งกำลัง

  • เปลี่ยน เครื่องยนต์ใหม่ ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo 213 แรงม้า 500 นิวตันเมตร

  • เปลี่ยน เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ลูกใหม่

  • เปลี่ยน Manual Mode + – จากการโยกคันเกียร์ เป็นการกดปุ่ม + – ที่หัวเกียร์

  • เปลี่ยน ไฟหน้าดีไซน์ใหม่

  • เพิ่ม ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED

  • เพิ่ม ระบบปรับไฟสูงแบบอัตโนมัติ Auto High Beam Control

  • เปลี่ยน กระจังหน้า ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน กันชนหน้า ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน เบ้าไฟตัดหมอก ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน ไฟตัดหมอกคู่หน้า เป็นแบบ LED

  • เปลี่ยน สติ๊กเกอร์ 4×4 ข้างกระบะ ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน สติ๊กเกอร์ R A N G E R ฝากระบะท้าย ดีไซน์ใหม่

  • เพิ่ม ระบบผ่อนแรง ฝาท้ายกระบะ Easy Lift Tailgate

  • เพิ่ม ระบบล็อคกุญแจฝาท้าย

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ในรุ่น Ranger Wildtrak Minorchange 4×4

Interior ภายในห้องโดยสาร / Safety – Driving Assist ระบบความปลอดภัย – ช่วยเหลือการขับขี่

  • เปลี่ยน โทนสีภายในห้องโดยสาร เป็นสีดำทั้งหมด

  • เปลี่ยน วัสดุหุ้มเบาะเป็น หนังสีดำ สลับด้วยผ้าตาข่ายสีดำ เดินตะเข็บด้ายสีส้ม

  • เปลี่ยน หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง ดีไซน์ใหม่

  • เปลี่ยน กุญแจรถ ดีไซน์ใหม่

  • เพิ่ม ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC3 เป็นภาษาไทย

  • เพิ่ม ระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร Active Noise Cancellation

  • เพิ่ม ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Keyless Entry

  • เพิ่ม ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button

  • เพิ่ม ระบบช่วยจอดรถแบบอัตโนมัติ Active Parking Assist

  • เพิ่ม ระบบเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน AEB : Autonomous Emergency Braking

    • โดยระบบเบรกอัตโนมัติ AEB จะใช้เรดาร์ และ กล้องด้านหน้ารถในการตรวจจับวัตถุด้านหน้า ทำงานเมื่อความเร็วมากกว่า 3.6 km/h (ปกติระบบเดิม เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System จะทำการส่งสัญญาณไฟ และ สัญญาณเสียงเตือนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเบรกอัตโนมัติ)

  • เปลี่ยน สีตัวถังภายนอก สีส้ม Pride Orange ในโทนสีที่อ่อนลง

Exterior ภายนอก

  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 Bi-Turbo 213 แรงม้า 500 นิวตันเมตร

  • เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ

  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time

  • เฟืองท้าย Locking Rear Differential

  • ระบบเบรกคู่หน้า ดิสก์เบรก / คู่หลัง ดรัมเบรก

  • ช่วงล่างด้านหน้า อิสระ Double Wishbone with Coil Spring

  • ช่วงล่างด้านหลัง แหนบซ้อน Leaf Spring

  • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPAS

  • ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18

  • ไฟหน้า Projector Lens แบบ HID

  • ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ

  • ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ

  • ระบบปรับไฟสูงแบบอัตโนมัติ Auto High Beam Control

  • ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED

  • ไฟตัดหมอกแบบ LED

  • กระจกมองข้าง ปรับและพับ ด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว

  • ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ Puddle Lamps

  • บันไดข้าง และ ราวหลังคา

  • สปอร์ตบาร์ และ ราวเสริมขอบกระบะท้าย

  • พื้นปูกระบะท้าย Bed Liner

  • ไฟส่องสว่างกระบะท้าย

Interior ภายในห้องโดยสาร

  • ภายในห้องโดยสารโทนสีดำ

  • เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำ สลับผ้าตาข่าย เดินตะเข็บด้ายสีส้ม

  • เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง

  • เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง

  • พวงมาลัย และ หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง เดินตะเข็บด้ายสีส้ม

  • สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย

  • ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร Ambient Light ปรับเปลี่ยนได้ 7 โทนสี

  • กระจกมองหลัง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ

  • ช่องชาร์จไฟ 12V 3 ตำแหน่ง

  • ช่องชาร์จปลั๊กไฟบ้าน AC 230V

  • กระจกหน้าต่างไฟฟ้า 4 บาน พร้อมระบบ One-touch ฝั่งคนขับ

  • ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone

  • ระบบทำความเย็น ช่องเก็บของคอนโซลกลาง

  • ชุดมาตรวัด หน้าจอแสดงผลแบบสี TFT จอคู่ Dual Screen

  • ระบบกุญแจ My Key

  • ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry

  • ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button

ระบบความบันเทิง Entertainment

  • เครื่องเสียงหน้าจอระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว

  • เครื่องเสียง วิทยุ AM/FM CD MP3

  • ระบบแผนที่นำทาง Navigation System

  • รองรับระบบ Apple Car Play / Andriod Auto

  • ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC3 เป็นภาษาไทย

  • ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง

  • ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth

  • ลำโพง 6 ตำแหน่ง

  • ระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร Active Noise Cancellation

ระบบความปลอดภัย – ช่วยเหลือการขับขี่ Safety & Driving Assist

  • ระบบป้องกันล้อล็อค ABS

  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD

  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP

  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS

  • ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA

  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC

  • ระบบช่วยการทรงตัวขณะลางจูง TSC

  • ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ Roll Over Mitigation

  • ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor

  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่าง Adaptive Cruise Control

  • ระบบช่วยจอดรถแบบอัตโนมัติ Active Parking Assist

  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System

  • ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Alert System

  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System

  • ระบบเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน AEB : Autonomous Emergency Braking

  • ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านถุงลมนิรภัย)

  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหน้า 6 ตำแหน่ง

  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง 4 ตำแหน่ง

  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด

  • จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

  • ระบบกุญแจ Immobilizer

  • สัญญาณกันขโมย Burglar Alarm

หลายท่านคงคิดอยู่ในใจว่า เอารถมาถ่ายรูปกันขนาดนี้ จะมีรีวิวให้อ่านกันหรือไม่ ?! ตอบได้เลยว่า มีแน่นอนครับ รอติดตามกันได้ 19.00 น. ของวันนี้ (16 กรกฎาคม 2018) บทความ First Impression ที่คุณผู้อ่านจะได้อ่านหลังจากนี้ คิดว่าน่าจะตอบคำถามได้ครบในหลายๆประเด็น ทั้งเรื่องของอัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง และ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ Ford Ranger Minorchange Double Cab 2.0 Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10A/T ในครั้งนี้

SUBSCRIBE FOR UPDATES

©2023 by Gling Urban Bikes. Proudly created with Wix.com

  • White Facebook Icon
  • White Twitter Icon
bottom of page